ในวงการอัญมณี เราเรียกการเล่นแสงของเพชรว่า "Light Performance" ซึ่งเปรียบเสมือนการแสดงโชว์ของแสงที่เกิดขึ้นภายในเพชร และการแสดงนี้มีตัวเอกอยู่ 3 ตัวด้วยกัน
1. Brilliance (ความสว่าง หรือ แสงสีขาวสะท้อน)
Brilliance คือปริมาณแสงสีขาวทั้งหมดที่สะท้อนกลับขึ้นมาจากภายในและผิวของเพชรมาสู่สายตาเรา พูดง่ายๆ คือ "ความสว่าง" หรือ "ความขาวใส" ของเพชรนั่นเอง เพชรที่มี Brilliance สูงจะดูสว่างสดใส มีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม นี่คือเสน่ห์ดึงดูดแรกที่ทำให้เราเห็นว่าเพชรเม็ดนั้น "สวยจัง"
2. Fire (ประกายรุ้ง)
Fire คือปรากฏการณ์ที่แสงสีขาวเมื่อเดินทางเข้าไปในเพชรแล้วถูกหักเหและกระจายตัวออกเป็นแสงสีรุ้ง คล้ายกับเวลาที่แสงส่องผ่านปริซึมแล้วเกิดเป็นรุ้ง 7 สีนั่นเองครับ เพชรที่มี Fire ที่ดีจะเปล่งประกายสีรุ้งเล็กๆ ระยิบระยับเมื่อขยับไปมาใต้แสงไฟ สร้างความตื่นตาตื่นใจและเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
3. Scintillation (ความระยิบระยับ)
Scintillation คือการกระพริบของแสงที่เกิดจากความสมดุลระหว่างพื้นที่สว่างและพื้นที่มืดบนหน้าเพชรเมื่อมีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นตัวเพชรเองที่ขยับ หรือคนมองที่ขยับก็ตาม มันคือ "ประกายไฟวิบวับ" ที่เราเห็น เพชรที่มี Scintillation ที่ดีจะมีแพทเทิร์นการกระพริบที่สวยงาม สมดุล และน่ามอง
เพชร Ideal Cut คือเพชรที่สามารถสร้างสมดุลของทั้ง Brilliance, Fire, และ Scintillation ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่สว่างจ้าเกินไปจนไม่เห็นประกายรุ้ง และไม่โชว์แต่ประกายรุ้งจนเพชรดูไม่สว่างสดใส
#เพชรIdealCut
#SuperIdealCut
#เพชรฮาร์ทแอนด์แอโรว์
#เพชรเล่นไฟ
#แหวนหมั้นIdealCut
#เพชรเซอร์GIA
#GIA3EX
#วิธีเลือกเพชร
#DiamondsplusIdealCut
#แหวนหมั้น
#แหวนแต่งงาน
#ร้านเพชร
#ขอแต่งงาน